ถ้าพูดถึงการรักษาสภาพรถยนต์แล้ว สีนับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะ เมื่อนี่อาจนำไปสู่การเกิดสนิมในรถที่จะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคต ที่หากเราเริ่นในวันนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว คนจำนวนมากมักหันเข้าหาร้านล้างรถหรือคาร์แคร์ ที่ปัจจุบันกำลังเป็นธุรกิจที่มาแรงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง ซึ่งความจริงแล้วการล้างรถให้เงางามและดูใหม่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องยากและสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ ต้องไม่ทำ เข้าใจก่อนปฏิบัติเท่านั้นเอง 


1. ล้างรถจำไว้ น้ำเปล่าฉีดแล้วต้องลูบ คนส่วนใหญ่มักรู้ว่าการล้างรถน้นเราต้องลงน้ำเปล่าก่อนเพื่อขจัดคราบสกปรก ทว่าความจริงแล้วนอกจากการฉีดชะเอาคราบโคลนต่างๆหลุดไปแล้ว เราควรที่จะเปิดน้ำเบาๆแล้วลูบด้วยมือให้ทั่วคันเพื่อขัดฝุ่นออกจากสีก่อน ทำให้ลดการเกิดรอย ก่อนลงฟองน้ำและน้ำยาล้างรถจริง 


2. ไม้ปัดขนไก้ อันนี้ของต้องห้าม โดยมากแล้วเรามักเผชิญกับปัญหาเรื่องฝุ่นอยู่เสมอไม่ว่าจะในเมืองหรือต่างจังหวัด และคนจำนวนไม่น้อยมักจะนำไม้ปัดขนไก้ที่มีขายอยูทั่วไปมาปัดเช็ดฝุ่นออก ด้วยความเข้าใจที่มีตั้งแต่ดั้งเดิมซึ่งไม้ปัดดังกล่าวใช้ในการทำความสะอาดบ้าน 

ความจริงแล้วแล้วไม้ปัดขนไก่อาจจะเป็นทางออกที่ดีเพราะสามารถขจัดฝุ่นได้ดีและรวดเร็ว แต่ทราบหรือไม่ว่า ขนไก่เมื่อรวมกับฝุ่นที่บ้างอาจเป็นเม็ดทราบสามารถทำให้เกิดริ้วรอยไว้ที่ชั้นแล็คเกอร์ ซึ่งทำให้รถของท่านเป็นรอยขนแมวและยากที่จะขัดออก .. 

3.ผงซักฟอก-น้ำยาล้างจาน...เลิกใช้มาล้างรถ!! หลายคนมักมีความขี้เกียจผสานความประหยัด เมื่อประกอบกับความเคยชินที่เรามักใช้สารทำความสะอาดอื่นๆอย่างผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน ทำให้เรามักคิดว่ามันสามารถเอามาล้างรถได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก และแม้เวลาผ่านไปเราก็ยังเห็นพฤติกรรมเช่นนี้เป็นประจำ ที่บางคนทำสืบทอดต่อกันมา

แม้การล้างรถคือการทำความสะอาดรถยนต์เหมือนๆกับจานหรือเสื้อผ้า แต่สิ่งที่แตกต่างนั้นคือเราต้องการล้างรถเพื่อให้เงางาม ไม่ใช่ให้สะอาด ซึ่งการที่เรานำน้ำยาล้างจานหรือฝงซักฟอกผสมน้ำมาล้างรถนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากสารทำความสะอาดทั้ง 2 ชนิดนั้นล้วนต้องการขจัดคราบอย่างเข้มข้น ซึ่งเมื่อเรานำมาล้างรถจะทำให้เกิดการชะล้างในส่วนของ WAX เคลือบชั้นแล็คเกอร์ออกไป ซึ่งทำให้สีรถจะดูหมองไม่เงาเงาม และในอนาคตยังอาจทำให้ชั้นแล็คเกอร์เสื่อมสภาพไวอีกด้วย 

4.เสื้อผ้าเก่าๆ...อย่านำมาเช็ดแห้ง หลายคนมักนำเสื้อผ้ามาใช้ในการเช็ดแห้งรถยนต์ด้วยความเข้าใจว่า มันจะสามารถซับน้ำได้เหมือนกัน ทั้งที่จริงๆแล้ว ผ้าถึงจะทำหน้าที่ได้เหมือนกัน แต่ให้ความแตกต่างที่สามารถทิ้งรอยไว้หลังเช็ดเสร็จ วึ่งในความจริงอย่างแย่สุดคุณควรหาซื้อผ้าสำลี หรือมีงบก็ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ แต่กระนั้นเสื้อผ้าเก่าๆ โดยเฉพาะผ้า cotton ก็ยังเหมาะที่จะนำมาใช้เช็ดทำความความสะอาดกระจกอยู่ดี

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสีรถขั้นพื้นฐานที่หลายคนมองข้าม บ้างก็ไม่ใส่ใจเพราะว่าใช้บริการร้านล้างรถ ทว่าแม้ร้านล้างรถจะมีบริการที่ดีแต่เราก็ควรที่จะล้างรถเองดุบ้างที่ทั้งปรัหยัด สนุก และยังเป้นการตรวจสอบรถไปด้วยในตัว




ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานั้น ถือว่าถูกต้องเลย มีหลายข้อที่สำคัญ โดยเฉพาะ เรื่องการล้างรถด้วยซันไลต์นี่เจอบ่อยมาก ที่เราอยากจะบอกว่ามันไม่กัดสีแต่กัดแว๊กซ์ คุณคงถามว่ามันกัดได้ยังไงก็ตอบง่ายคือน้ำมะนาวมีส่วนเป็นกรดแม้การใช้งานจริงเราจะนำมันมาผสมน้ำแต่คุณสมบัติแบบนี้ก็ยังมีอยู่ดี ..และเราไม่แนะนำอย่างแรง!!! ในการนำมาล้างรถ

ที่มา Civicesgroup Forum


การเตรียมพื้นผิวสีรถยนต์ให้สะอาด
การลูบด้วยดินน้ำมัน Clay Detailing เพื่อขจัดคราบสกปรกที่ล้างธรรมดาล้างไม่ออก


    Clay Bar หรือดินน้ำมัน
เป็นสารสังเคราะห์ชนิดหนึ่ง แตกต่างจากดินน้ำมันทั่วไปที่ใช้สำหรับงานปั้นซึ่งใช้แทนกันไม่ได้นะครับ    ดินน้ำมันสำหรับทำความสะอาดรถมีความเหนียว ไม่มีความมัน เป็นก้อนแข็ง ไม่ละลายน้ำ มีคุณสมบัติในการดูดสิ่งสกปรกต่างๆจากพื้นผิวรถได้เป็นอย่างดี  และดีกว่าแชมพูทั่วไปมาก
      
   ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเพราะหากพื้นผิวสีรถยนต์ไม่สะอาดอย่างแท้จริงแล้ว การที่เราเคลือบน้ำยาทับไปไม่ว่าจะใช้น้ำยาดี มีคุณสมบัติแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่ทำให้เกิดผลงานความเงางามอย่างทีควรจะเป็น  ซ้ำร้ายยิ่งเป็นการเคลือบทับสิ่งสกปรก เคลือบรอยคราบให้ติดทนแน่นกับสีผิวรถยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจกับขั้นตอนนี้เป็นพิเศษ เพราะยิ่งท่านเตรียมพื้นผิวได้สะอาดมากขึ้นเท่าไร ท่านก็จะสามารถขับเน้นความงามของรถท่านได้มากขึ้นเท่านั้น

1. เมื่อล้าง ทำความสะอาด และเช็ดรถยนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำรถมาบริเวณจุดแห้ง ไม่มีน้ำขัง และไม่ชื้น ปลอดฝุ่นและสิ่งสกปรก  ควรมีหลังคาปกคลุม เพราะบางครั้งการทำงานกลางแจ้งแม้จะไม่มีแดด  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีรังสีอุลตราไวโอเลต และคลื่นความร้อน   คลื่นความร้อนเหล่านี้จะทำให้น้ำยา และสารเคมีต่างๆแห้งเร็วเกินไป     อย่างไรก็ดีควรมีแสงสว่างเพียงพอด้วย 

2. ตรวจสอบรอยคราบ และสิ่งสกปรกรอบคันรถ แล้วใช้เทปกาวสำหรับรถโดยเฉพาะ มาร์กรอยต่างๆไว้ แต่หากท่านสามารถจำได้ว่ามีรอยคราบอยู่ที่ใดบ้างของรถ ก็ไม่จำเป็นต้องมาร์ก

3. พิจารณาวิเคราะห์ว่ารอยคราบ หรือสิ่งสกปรกที่เราพบเป็นรอยคราบที่เกิดจากอะไรบ้าง เพื่อพิจารณาเลือกใช้น้ำยา หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมทำความสะอาดรอยคราบนั้น เช่นคราบยางไม้ แมลง มูลนก ยางมะตอย ซึ่งคราบแต่ละชนิดจะมีน้ำยาทำความสะอาดแยกไว้โดยเฉพาะ ให้เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดเฉพาะ (Special Products) เพื่อทำความสะอาดคราบเหล่านั้นออกให้หมด

4. กรณีเป็นคราบละอองสีที่ติดมาภายหลังการทำสี คราบสารเคมีที่เกิดจากมลภาวะในอากาศ และน้ำฝน คราบไคลที่ฝังแน่นกับผิวรถ รอยคราบไคลเหล่านี้สังเกตได้จากการใช้มือลูบที่ผิวสีรถจะรู้สึกสากๆ วิธีทำความสะอาดรอยคราบเหล่านี้สามารถใช้ดินน้ำมันสังเคราะห์ (Clay) ที่ผลิตมาโดยเฉพาะ 

5. วิธีการทำความสะอาดผิวสีรถยนต์อย่างลึกซึ้งด้วยดินน้ำมัน Clay Bar  

  วิธีการลูบดินน้ำมันมีดังนี้ 

(1) กำหนดบริเวณที่จะลูบด้วยดินน้ำมัน  หรือจะลูบด้วยดินน้ำมันรอบคันก็ได้

(2) กดดินน้ำมันจนแผ่กว้างให้ได้พื้นที่สัมผัสกับผิวสีรถมากที่สุด แต่ไม่ควรให้บางจนเกินไป ปกติดินน้ำมันจะมีความเหนียวมาก จนไม่สามารถใช้ลูบกับผิวสีรถที่แห้งได้ จะต้องมีสารหล่อลื่นระหว่างลูบ 

     
      ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์น้ำยาหล่อลื่นสำหรับดินน้ำมันโดยเฉพาะ Clay Lubricant หลายยี่ห้อที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับการลูบด้วยดิน น้ำมันโดยเฉพาะ หากท่านใช้น้ำยาดังกล่าว ให้เริ่มจากการฉีดสเปรย์น้ำยาลงบนบริเวณพื้นผิวสีรถที่ท่านต้องการทำความสะอาด 
     
       ทั้งนี้ท่านอาจใช้น้ำสะอาดเป็นตัวหล่อลื่นแทนก็ได้ (คาร์แคร์ส่วนใหญ่มักใช้น้ำเปล่า เพราะประหยัดต้นทุนได้มาก) กรณีที่ท่านต้องการลูบด้วยดินน้ำมันรอบคันรถและต้องการใช้น้ำเปล่าเป็นตัวหล่อลื่น ท่านสามารถลูบดินน้ำมันได้ทันทีหลังล้าง ทำความสะอาดรถเสร็จแล้ว โดยยังไม่ต้องเช็ดรถให้แห้ง แต่จะต้องคอยฉีดน้ำหล่อเลี้ยงผิวรถไว้อย่างสม่ำเสมอไม่ให้แห้งเอง จนกว่าท่านจะลูบด้วยดินน้ำมันเสร็จ

 


(3) ใช้ดินน้ำมันที่แผ่กว้างไว้แล้วลูบผิวสีรถยนต์โดยใช้ฝ่ามือกดจับให้กระชับมือ  ควรลูบขึ้นลง สลับซ้ายขวาเป็นรูปตารางรอบบริเวณ  เพราะการลูบในลักษณะเป็นส้นตรงตาราง  ง่ายกว่าการลูบเป็นวงกลม  เนื่องจากความเหนียวของดินน้ำมันทำให้เกิดการสะดุดเมื่อต้องเปลี่ยนทิศทางบ่อยๆ      ทั้งนี้ให้ลูบจนทั่วบริเวณ หรือลูบจนกว่ารอยคราบจะหายไป 

(4) ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดพื้นผิวรถให้สะอาด  เมื่อผิวสีรถสะอาดขึ้น ท่านจะรู้สึกได้ทันทีโดยการใช้มือลูบแล้วจะรู้สึกลื่นปื้ดๆ ลื่นกว่าพื้นผิวส่วนอื่นที่ไม่ได้ลูบด้วยดินน้ำมันอย่างเห็นได้ชัด


(5) ข้อควรระวังอย่างยิ่งขณะลูบด้วยดินน้ำมันนั้น ดินน้ำมันจะมีความลื่น เนื่องจากน้ำยาหรือน้ำสะอาดที่เราใช้หล่อลื่นพื้นผิว ทำให้ดินน้ำมันอาจลื่นหลุดมือได้ง่าย ต้องระวังไม่ให้ดินน้ำมันหลุดหล่นลงพื้นเด็ดขาด เพราะเศษกรวด เม็ดทรายจะติดฝังเข้าไปในดินน้ำมันทันที และยากต่อการเอาสิ่งปลอมปนเหล่านั้นออกจากดินน้ำมัน หากเกิดเหตุการณ์เช่นว่า ควรจะทิ้งดินน้ำมันก้อนนั้นไปเสีย เพราะถ้าท่านยังคงนำมาใช้ต่อ ดินน้ำมันที่มีเศษเม็ดทรายฝังอยู่อาจทำลายสีรถท่านจนเป็นรอยได้

(7) อย่าใช้ดินน้ำมันไปขัดถูล้อแม็ก และยางล้อรถนะครับ เพราะดินน้ำมันจะเก็บเม็ดทรายไว้เป็นอย่างดี


(8) ตรวจดูสิ่งสกปรก และรอยคราบต่างๆ เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้แน่ใจว่าทำความสะอาดพื้นผิวสีรถได้หมดจดแล้ว ถ้าพบรอยคราบบางจุดอยู่ก็ทำซ้ำตามขั้นตอนที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ครับ

      เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้ท่านจะได้รถที่สะอาดมากในระดับหนึ่งแล้ว บางครั้งหากรถของท่านได้รับการดูแลรักษามาเป็นอย่างดีอยู่ก่อนแล้ว ท่านแทบจะไม่ต้องขัดสีรถยนต์เลยด้วยซ้ำ ก็สามารถเคลือบสีได้ทันที ทั้งนี้ก็ต้องดูเป็นกรณีๆไป และขั้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของรถด้วยครับ 

ข้อมูลจาก : Blocoli.com

ล้างรถให้ถูกวิธี

รถใครใครก็รัก และก็ย่อมอยากให้รถของเรามีสีที่สวยและสะอาดเป็นเงาตลอดเวลา แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องเอารถออกมาใช้งานก็อาจเจอกับฝุ่นละอองและบางทีอาจจะโดนสเก็ตก้อนหินที่กระเด็นมาโดนเวลาขับรถหรือบางครั้งก็ขับไปลงน้ำโคลนที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเรามาดูวิธีการล้างรถที่ถูกวิธีกันนะครับและการที่รถสกปรกหรือมีผลต่อสีรถอันแสนสวยของคุณเกิดขึ้นได้จากต้นเหตุหลายประการ ดังนั้น ควรจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไว้ก่อนจะเป็นการดี ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อสีและตัวถัง ได้แก่


- ฝุ่นและสิ่งสกปรกบนท้องถนน เช่น เขม่า แมลง มูลนก สารประกอบประเภทด่าง ยางไม้ และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำลายสีรถได้ถ้าปล่อยทิ้งไว้
- ฝุ่นควันในย่านโรงงานอุตสาหกรรมก็เป็น ‘ตัวร้าย’ ทำลายสีรถได้เช่นกัน ยิ่งมีสารประกอบประเภทซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งบางทีเค้าเรียกกันว่า ‘ฝนกรด’ นี่แหละเป็นตัวทำลายสีรถได้ดีนัก
- เขตชายฝั่งทะเลซึ่งมีความชื้นและไอเกลือผสมปะปนอยู่ในบรรยากาศ รถบริเวณนั้นออกจะโชคไม่ดีสักหน่อยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
- ภูมิอากาศแถบร้อน เช่น แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมาก อากาศที่มีความชื้นสูง รถที่มีสีอ่อนสามารถเกิดความร้อน 80 องศาเซลเซียส และรถที่มีสีทึบสามารถเกิดความร้อนถึง 120 องศาเซลเซียส ถ้าจอดทิ้งไว้กลางแดดนาน ๆ อาจทำให้สีเริ่มแตกได้โดยเฉพาะพื้นที่รับแสงอาทิตย์เต็ม ๆ เช่น บริเวณหลังคาและฝากระโปรงรถ
- กรวดทรายบนท้องถนนอาจทำให้พื้นผิวของสีถลอก ซึ่งจะทำให้เกิดสนิมตามบริเวณบังโคลน

สิ่งที่น่ารุ้เรื่องสีรถ
การ ล้างรถบ่อย ๆ ทำให้สีตัวรถดูสดใสตลอดเวลาและไม่ปล่อยโอกาสให้บรรดา ‘ตัวบ่อนทำลาย’ ทั้งหลายได้มีเวลาเกาะอยู่ตามสีนานจนเกินไป แต่ทั้งนี้การล้างรถควรจะต้องคำนึงถึงการปฏิบัติอย่างถูกวิธีด้วย ประเภทสักแต่ว่าล้างหรือ ‘ล้างลูกเดียว’ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กปั๊มหรือเวลาล้างพวกรถแท็กซี่ที่มุ่งปริมาณ มากกว่าคุณภาพอย่าล้างรถท่ามกลางแสงแดดร้อนจัด ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้กลางแสงแดดหรือเพิ่งเสร็จสิ้นจากการเดินทาง ความร้อนที่ฝากระโปรงยังมีอยู่ควรปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง จนกระทั่งผิวรถเย็นจึงค่อยจัดการล้างทำความสะอาด

การล้างรถ
- ควรล้างรถสัปดาห์ละครั้ง หรือเมื่อสีเริ่มสกปรก
- ล้างน้ำมันเบนซิน น้ำมันเครื่อง จาระบีหรือน้ำมันเบรกออกทันทีเมื่อเปื้อนสีรถ แม้ว่าสีรถนั้นจะเป็นยี่ห้อพิเศษที่ทนน้ำมันเบรกทนไฟก็ตาม
- ควรขจัดแมลงที่ติดตามตัวถังก่อนที่จะทำการล้างรถ
- ควรทำความสะอาดตามขอบประตู ฝากระโปรงหน้า-หลังอย่างทั่วถึง
-ใน ช่วงฤดูฝนควรทำความสะอาดค่อนข้างบ่อย อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวฝนตกรถก็เปรอะเปื้อนอีก เนื่องจากโคลนที่เกาะตามตัวถังเมื่อเพิ่มจำนวนขึ้นจะทำให้ล้างยากและเป็น อันตรายกับสีรถ
- ควรดูดฝุ่นภายในรถด้วย
-ในการล้างรถขั้นแรก ควรใช้น้ำฉีดล้างสิ่งสกปรกให้ละลายเสียก่อน หรือใช้น้ำเปล่าราดโชกตลอดทั่วทั้งคัน จากนั้นใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มเช็ดถูเบา ๆ อย่าถูแบบกดแรง ๆ หรือซ้ำซากในที่เดียวถ้าใช้ฉีดล้างก็ควรฉีดเบา ๆ
-เริ่มทำความสะอาด จากด้านบนก่อนโดยเริ่มจากหลังคาลงมายังส่วนฝากระโปรงรถ สำหรับส่วนล่างของรถหรือล้อควรล้างในขั้นสุดท้าย และอย่าลืมฟองน้ำที่ใช้สำหรับส่วนล่างต่างหาก อย่าใช้ปะปนกับอันที่ใช้ล้างตัวรถ
- ถ้าใช้พวกแชมพูในการล้างด้วย ต้องล้างน้ำสะอาดธรรมดาอีกครั้งหลังจากใช้แชมพูแล้วและอย่าใช้ผงซักฟอกล้างรถเป็นอันขาด
- เช็ดรถให้แห้งด้วยผ้าชามัวส์หรือผ้านุ่มสะอาด ตรวจดูให้ทั่วอย่าให้มีหยดน้ำหลงเหลืออยู่บนตัวรถ มิฉะนั้นเวลาแห้งมันจะทิ้งรอยคราบขาว ๆ เอาไว้ ยิ่งเป็นรถที่มีสีทึบจะเห็นได้อย่างชัดเจน
- รอยสกปรกที่ยังตกค้างอยู่บนพื้นผิวสี ควรเช็ดออกด้วยน้ำยาทำความสะอาดทันทีหลังจากล้างรถแล้วเบรกอาจจะเปียกชื้น เพื่อให้เกิดความแน่ใจก่อนออกรถทุกครั้งภายหลังการล้างรถ ควรเหยียบห้ามล้อย้ำสักครั้งสองครั้งเพื่อไล่ความชื้นบนผ้าเบรก ซึ่งอาจเปียกน้ำให้หมดไป
*หลังจากล้างรถเสร็จใหม่ ๆ ไม่ควรดึงเบรกมือ เพราะอาจจะยังมีน้ำเกาะอยู่ที่จานเบรก (ตอนล้างล้อ) ทำให้เกิดอาการ ‘เบรกติด’ ได้

ล้างกระจกหน้าต่าง
หน้าต่าง รถด้านนอกสามารถจะใช้แอลกอฮอล์หรือน้ำยาล้างกระจกล้างทำความสะอาด ได้ แต่ด้านในของกระจกที่มีวงจรไฟฟ้าติดตั้งอยู่ (เช่นแผงไล่ฝ้าติดตั้งกระจกหลังที่ป้องกันมิให้เกิดฝ้าจากการเกาะตัวของไอ น้ำในขณะฝนตกหรืออากาศเย็นจัด) ไม่ควรเช็ดล้างแบบเปียก ควรใช้วิธีการปัดทำความสะอาดเท่านั้น อย่าใช้น้ำยาล้างที่มีส่วนผสมของสารประเภทซิลิโคนเป็นอันขาดและไม่ควรใช้ยา ขัดใด ๆ ซึ่งอาจทำให้แผงเส้นลวดชำรุดได้สำหรับใบปัดน้ำฝนส่วนที่เป็นยาง ควรล้างด้วยน้ำสบู่ ระวังอย่าถูกดแรง ๆ จนทำให้ใบปัดเสียรูปทรง หรือขอบยางบิดเบี้ยว

การทำความสะอาดตัวรถ
ตัวถังรถยนต์จะได้รับการเคลือบสีไว้เป็นอย่างดี ถ้าการทำความสะอาดนั้นทำผิดวิธีจะทำให้สีที่เคลือบไว้เสียหาย เช่น เกิดการด่าง การลอกร้าวของสี ดังนั้นเราต้องทำความสะอาดให้ถูกวิธีคือฝุ่น หรือโคลนติดที่ตัวถังรถ สิ่งเหล่านี้จะดูดความชื้นได้ง่าย จะทำให้ผิวของสีเสื่อม ขาดความเป็นเงามัน สีจะซีดจางเกิดความแตกร้าวได้ง่าย ถ้ามีฝุ่นจับที่ไม่สกปรกเกินไปก็ใช้ไม้ขนไก่ปัดทุกวันก็พอเมื่อไม้ ขนไก่ไม่สามารถทำความสะอาดที่ตัวถังรถได้เพียงพอให้ใช้ผ้าอ่อน ๆ ชุบน้ำเช็ดอย่างระมัดระวัง เพราะฝุ่นนั้นจะมีละอองหินหรือสิ่งที่แข็งติดอยู่ ถ้าเช็ดแรง ๆ สีที่เคลือบไว้จะเป็นรอยขีดข่วนควรทำความสะอาดที่ปัดน้ำฝนด้วยถ้ามีโคลนจับเพราะจะทำให้กระจกเป็นรอยได้

เคล็ดลับง่าย ๆ ของการล้างรถให้สะอาด ไม่เกิดรอย และไม่ทำลายสีรถ


1. เริ่มจากฉีดน้ำครับ ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน และสิ่งสกปรกต่างๆ หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด
2. ล้างด้วยน้ำเปล่าก็สะอาดเพียงพอแล้ว แต่อาจต้องใช้แรงในการขัดถูมากหน่อย ถ้าอยากให้ล้างง่ายขึ้น สะอาดใสปิ๊ง ก็ให้ใช้แชมพูล้างรถร่วมด้วยครับ
3. รถก็เหมือนบ้าน เวลาทำความสะอาดต้องเริ่มจากด้านบนก่อน ค่อยๆ ล้างจากส่วนบน ลงล่าง
4. ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช่น ผ้าสำลี ล้างรถ ไม่ควรใช้ฟองน้ำ เพราะเม็ดทรายหรือฝุ่นจะติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ เมื่อถูไปกับผิวสีรถ จะทำให้เกิดรอยขีดข่วน และถ้าทำได้ควรจะนำผ้าไปแช่น้ำไว้ก่อน ยิ่งถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยจะดีมาก ในขณะที่ล้างรถก็ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้าด้วย
5. โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านล่างจะสกปรกและมีฝุ่นมาก จึงขอแนะนำให้แยกใช้ผ้า 3 ผืน ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง และกระจกรถทั้งหมด ผืนที่สอง ใช้ล้างด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจกด้านล่างลงมา ผืนสุดท้าย ใช้สำหรับทำความสะอาดล้อ และส่วนอื่นที่สกปรกมาก
6. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด และ ใช้ผ้าแห้งนุ่มๆ เช็ดรถให้แห้งทันที จะได้ไม่มีฝุ่นเกาะและไม่เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถ

ล้างแล้วเช็ด
1. ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้จะไม่ทำให้รถเป็นรอย การเช็ดรถที่ถูกต้องก็เหมือนกับการล้าง คือควรเช็ดจากด้านบนไล่ลงมาด้านล่างของรถ เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมด จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อ
2. ส่วนของรถที่ต้องระวัง คือ ด้านในขอบประตูทั้งหมด ด้านในกระโปรงหลัง ด้านในฝาถังน้ำมัน กระจกหน้ารถ ควรเช็ดให้แห้งที่สุด อย่ามองข้ามเป็นอันขาด
3. ล้อแม็กซ์ ก็ควรจะเช็ดให้แห้งด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเกิดเป็นคราบน้ำขึ้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้นจะเช็ดออกยากจนถึงเช็ดไม่ออกเลย

กลเม็ดเคล็ดลับ
1. ไม่ควรล้างรถเองในตอนเย็น เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้อาจทำให้เกิดสนิมในจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้ง หรือไม่ก็ต้องยอมเปลืองน้ำมันเอารถออกไปขับไกล ๆ ให้ลมช่วยทำให้ทุกซอยทุกมุมแห้งสนิท วิธีนี้คุณผู้ชายอาจใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านตอนเย็นๆ ได้นะครับ ไม่ว่ากัน
2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะนอกจากคนล้างอาจไม่สบายได้แล้ว แสงแดดจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเช็ดไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถได้ครับ
3. ไม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี ผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้าจะทำให้เกิดรอยขนแมวยิ่งเช็ดรถมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ การเกิดรอยก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
4. ไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่นเพื่อทำความสะอาด เพราะมันเหมือนกับการใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว ในขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูฝุ่นหรือเม็ดทรายไปตามผิวสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอยได้ครับ

ที่มา: insure108.com

Powered by Blogger.